Tetra Pak ย้ำความสำเร็จครั้งใหม่ โชว์กรณีศึกษาประเทศไทยในรายงานความยั่งยืนฉบับล่าสุด - The Tellus Post

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

Saturday, September 17, 2022

Tetra Pak ย้ำความสำเร็จครั้งใหม่ โชว์กรณีศึกษาประเทศไทยในรายงานความยั่งยืนฉบับล่าสุด



เต็ดตรา แพ้ค ผู้นำเสนอโซลูชันการแปรรูปอาหารและบรรจุภัณฑ์อาหารชั้นนำของโลก จัดงานเสวนาเพื่อนำเสนอรายงานความยั่งยืนประจำปี 2565 ของเต็ดตรา แพ้ค โดยมี สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า และผู้แทนจากบริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับวาระความยั่งยืนของประเทศ การดำเนินการที่เกี่ยวข้องที่จะทำให้ระบบอาหารมีความยืดหยุ่นและยั่งยืน รวมถึงความสำเร็จและความก้าวหน้าของเต็ดตรา แพ้ค ในปีที่ผ่านมา



ความยั่งยืนคือหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจของเต็ดตรา แพ้ค บริษัทมุ่งเน้นที่จะเพิ่มความพร้อมและความปลอดภัยของอาหาร ลดขยะอาหาร รวมทั้งปรับปรุงเพื่อยกระดับประสิทธิภาพของทรัพยากรและการขนส่งตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่ามาโดยตลอด ซึ่งในรายงานความยั่งยืนฉบับที่ 23 ของเต็ดตรา แพ้ค แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จขององค์กร รวมถึงโครงการที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องอาหาร ผู้คน และโลก อันได้แก่

  • การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินงานลง 36% โดย 80% ของพลังงานที่ใช้มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน พร้อมเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นสองเท่าถึง 5.55 เมกะวัตต์
  • การจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพืชจำนวน 17,600 ล้านชิ้น และฝาที่ผลิตจากพืชจำนวน 10,800 ล้านชิ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปได้มากถึง 96 กิโลตัน เมื่อเทียบกับพลาสติกทจากฟอสซิล
  • การลงทุนจำนวน 40 ล้านยูโร เพื่อผลักดันการจัดเก็บและรีไซเคิลกล่องเครื่องดื่ม 50,000 ล้านกล่อง ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
  • เด็กกว่า 61 ล้านคนใน 41 ประเทศได้รับนม หรือเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการอื่น ๆ ซึ่งบรรจุในกล่องของเต็ดตรา แพ้ค ผ่านโครงการโภชนาการในโรงเรียน
  • การทดสอบและรับรองเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ในการใช้วัสดุที่ทำจากโพลีเมอร์แทนที่ชั้นอะลูมิเนียมในบรรจุภัณฑ์แบบปลอดเชื้อ โดยเริ่มทดสอบจากการใช้เยื่อกระดาษรูปแบบใหม่ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหารแบบกล่องที่จัดจำหน่ายในอุณหภูมิห้องโดยไม่ต้องแช่เย็น
  • การเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มรายแรกที่เปิดตัวฝาซึ่งทำจากโพลิเมอร์รีไซเคิล ร่วมกับ Elvir บริษัทในเครือของ Savencia Fromage & Dairy ผู้ผลิตเครื่องแปรรูปนมชั้นนำของโลก
  • การร่วมมือกับบริษัทนวัตกรรมหลายแห่งเพื่อเปลี่ยนอาหารเหลือทิ้งให้เป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนพัฒนาสูตรอาหารที่มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งนอกจากจะช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์แล้ว โปรตีนทางเลือกยังลดการใช้ที่ดินและน้ำลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับแหล่งที่มาของโปรตีนแบบเดิม
  • ความมุ่งมั่นในการลดขยะอาหาร ลดการใช้น้ำ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของไลน์การผลิตต้นแบบลงให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2573



เต็ดตรา แพ้ค
มุ่งมั่นและพร้อมที่จะปกป้องทรัพยากรธรรมชาติตลอดห่วงโซ่คุณค่า ควบคู่ไปกับการมีส่วนช่วยให้ผู้คนเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้นทั่วโลก ด้วยการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดี การกำหนดเป้าหมายที่ท้าทาย และการติดตามความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง จุดมุ่งหมายของบริษัทคือการพัฒนาแนวปฏิบัติในด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ รวมถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ และมีส่วนร่วมในการสร้างความเหมาะสมของการใช้น้ำทั่วโลกตลอดการดำเนินงานภายในองค์กรและห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด เต็ดตรา แพ้ค เน้นย้ำประเด็นความยั่งยืนที่มีความสำคัญต่อธุรกิจและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ด้วยการริเริ่มโครงการต่าง ๆ ที่หลากหลายซึ่งมีส่วนในการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยเฉพาะข้อที่ 6, 7, 9, 12, 13, 15 และ 17



หนึ่งในโครงการที่ระบุไว้ในรายงานทั่วโลกฉบับนี้ คือความร่วมมือระหว่างบริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กับบริษัท แดรี่พลัส จำกัด ผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นม ซึ่งได้จัดทำแผนงานออกเป็นสามระยะเพื่อลดการใช้น้ำในโรงงาน โดยขณะนั้น โรงบำบัดน้ำเสียของแดรี่พลัสใกล้เต็มขีดสูงสุดในการรองรับน้ำแล้ว และอาจจะไม่สามารถรับภาระเพิ่มเติมจากการขยายกำลังการผลิตได้

ทีมงานของเต็ดตรา แพ้ค และแดรี่พลัส จึงได้พัฒนาขั้นตอนการดำเนินงานตามลำดับความสำคัญเพื่อลดการใช้น้ำในการดำเนินการภายในโรงงานทั้งหมด และเริ่มปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ เป็นระยะ ผลลัพธ์จากระยะแรกที่สิ้นสุดในเดือนกันยายน 2564 ระบุว่าสามารถประหยัดน้ำได้ 400 ตันต่อวัน เทียบเท่ากับการประหยัดน้ำในสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิกหนึ่งสระต่อสัปดาห์ การใช้โรงบำบัดน้ำเสียโดยรวมลดลงจาก 75% เป็น 60% ซึ่งทำให้มีพื้นที่สำหรับการขยายโครงการได้

No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad



Pages